วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

มารู้จักกับประโยคยอดนิยมค่ะ


50 ประโยคคำถามพื้นฐานในภาษาอังกฤษ

     ต่อ ไปนี้คือ 50 ประโยคคำถามพื้นฐานพร้อมคำตอบ ซึ่งเป็นประโยคคำถามพื้นฐานที่สำคัญมากในภาษาอังกฤษ พบได้อยู่เป็นประจำในบทสนทนาสถานการณ์ต่างๆ ทั้ง 50 ประโยคนี้คือสิ่งจำเป็นที่ผู้เริ่มศึกษาภาษาอังกฤษจะต้องจดจำรูปแบบของ ประโยคไว้ให้ได้ โดยเราจะแบ่งทั้ง 50 คำถามนี้ออกเป็นหมวดย่อยเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ

มาเริ่มกันที่หมวดข้อมูลส่วนตัว กับคำถามข้อแรกกันได้เลย

Personal Information (หมวดข้อมูลส่วนตัว) 

Q1 : What's your name ? (คุณชื่ออะไร)
A1 : Peter. (ปีเตอร์)

Q2 : Where are you from ? / Where do you come from ? (คุณมาจากที่ไหน)
A2 : I'm from ... / I come from ... (ฉันมาจาก...)

Q3 : What's your surname ? / What's your family name ? (คุณนามสกุลอะไร)
A3 : Smith. (สมิธ)

Q4 : What's your first name ? (คุณชื่ออะไร)
A4 : Tom. (ทอม)

Q5 : What's your address ? (ที่อยู่ของคุณคือที่ไหน)
A5 : 7865 NW Sweet Street (7865 นอร์ธเวสต์ ถนนสวีท)

 Q6 : Where do you live ? (คุณอาศัยอยู่ที่ไหน)
A6 : I live in San Diego. (ฉันอาศัยอยู่ที่ซาน ดิเอโก)

Q7 : What's your telephone number ? (โทรศัพท์ของคุณหมายเลขอะไร)
A7 : 209-786-9845

Q8 : How old are you ? (คุณอายุเท่าไร)
A8 : Twenty-five. / I'm twenty-five years old. (25 / ฉันอายุ 25 ปี)

Q9 : When were you born ? / Where were you born ? (คุณเกิดเมื่อไหร่ / คุณเกิดที่ไหน)
A9 : I was born in 1961 / I was born in Seattle. (ฉันเกิดในปี ค.ศ.1961 / ฉันเกิดที่ซีแอตเติ้ล)

Q10 : Are you married ? / What's your marital status ? (คุณแต่งงานหรือยัง / สถานภาพการสมรสของคุณเป็นอย่างไร)
A10 : I'm single. (ฉันยังโสด)

Q11 : What do you do ? / What's your job ? (คุณทำอาชีพอะไร)
A11 : I'm a librarian. (ฉันเป็นบรรณารักษ์)

Q12 : Where did you go ? (คุณไปที่ไหนมา)
A12 : I went to a friend's house. (ฉันไปที่บ้านเพื่อนมา)

Q13 : What did you do ? (คุณได้ทำอะไรไป)
A13 : We played video games. (เราเล่นวีดีโอเกมส์)

Q14 : Where were you ? (คุณเคยอยู่ที่ไหนที่ผ่านมา)
A14 : I was in New York for the weekend. (ฉันอยู่ที่นิวยอร์กตอนสุดสัปดาห์)

Q15 : Have you got a car / job / house / etc.? (คุณมีรถ / งาน / บ้าน ฯลฯ หรือไม่)
A15 : Yes, I've got a good job. (ใช่ ฉันมีงานที่ดีทำ)

Q16 : Have you got any children / friends / books / etc. ? (คุณมีบุตร / เพื่อน / หนังสือ ฯลฯ บ้างหรือไม่)
A16 : Yes, I've got three children - two boys and a daughter. (ใช่ ฉันมีบุตร 3 คน เป็น ชาย 2 คน หญิง 1 คน

Q17 : Can you play tennis / golf / football / etc.? คุณเล่นเทนนิส / กอล์ฟ / ฟุตบอล / ฯลฯ เป็นหรือไม่
A17 : Yes, I can play golf. (ใช่ ฉันเล่นกอล์ฟได้)

Q18 : Can you speak English / French / Japanese / etc. ? (คุณพูดภาษาอังกฤษ/ ฝรั่งเศส / ญี่ปุ่น ฯลฯ ได้หรือไม่)
A18 : No, I can't speak Japanese. (ไม่ ฉันพูดญี่ปุ่นไม่ได้)

Q19 : Could you speak English / French / Japanese / etc. ? when you were five / two / fifteen / etc. years old ? (คุณพูดภาษาอังกฤษ / ฝรั่งเศส / ญี่ปุ่น ฯลฯ ได้หรือไม่ เมื่อตอนคุณอายุ 5 / 2 / 15 / ฯลฯ ปี)
A19 : Yes, I could speak English when I was five years old. (ใช่ ฉันพูดภาษาอังกฤษได้เมื่ออายุ 5 ขวบ)
 บันทึกการเข้า

~ lady of gold ~
Administrator
สมาชิก
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5277

Thank You
-มอบให้: 67
-ได้รับ: 93



อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: 09,กันยายน,2010, 11:41:28 AM »


Saying Hello พูดทักทาย

Q 20: How do you do? คุณสบายดีไหม
A 20: How do you do. Pleased to meet you. ยินดีที่เพบคุณ

Q 21: How are you? คุณสบายดีไหม
A 21: Fine, thanks. And you? สบายดี ขอบคุณ แล้วคุณล่ะ

Shopping เมื่อช็อปปิ้ง
Q 22: How can I help you? / May I help you? คนขาย: จะให้ช่วยอะไรบ้าง
A 22: Yes. I'm looking for a sweater. คนซื้อ: ครับ กำลังมองหาเสื้อสเวตเตอร์สักตัว

Q 23: Can I try it on? คนซื้อ: ขอลองได้ไหม
A 23: Sure, the changing rooms are over there. คนขาย: ได้ซีครับ ห้องลองเสื้ออยู่ตรงโน้นครับ

Q 24: How much does it cost? / How much is it? คนซื้อ: ราคาเท่าไร
A 24: It's $45. คนขาย: 45 เหรียญ

Q 25: How would you like to pay? คนขาย: คุณจะจ่ายยังไงครับ
A 25: By credit card. คนซื้อ: ใช้บัตรเครดิต

Q 26: Can I pay by credit card / check / debit card? คนซื้อ: ฉันจะจ่ายโดยใช้ บัตรเครดิต / เช็ค / บัตรเดบิต ได้ไหม
A 26: Certainly. We accept all major cards. คนขาย: ได้ซีครับ เรารับบัตรเครดิตยี่ห้อใหญ่ ๆ ทุกยี่ห้อ

Q 27: Have you got something bigger / smaller / lighter / etc.? คนซื้อ: คุณมีตัว ที่ใหญ่กว่า / เล็กกว่า / เบากว่า / ฯลฯ หรือไม่
A 27: Certainly, we've got a smaller sizes as well. คนขาย: มีครับ ขนาดเล็กกว่าเราก็มี

Asking Something Specific ถามคำถามเจาะจง
Q 28: What's that? นั่นอะไรน่ะ
A 28: It's a cat! แมว

Q 29: What time is it? เวลาเท่าไร
A 29: It's three o'clock. 3 นาฬิกา

Q 30: Can / May I open the window? ฉันขอเปิดหน้าต่างได้ไหม
A 30: Certainly. It's hot in here! ได้ซีครับ ข้างในนี่ร้อน

Q 31: Is there a bank / supermarket / pharmacy / etc. near here? มีธนาคาร / ซูเปอร์มาเก็ต / ร้านขายยา / ฯลฯ ที่อยู่ใกล้ ๆ บ้างไหม
A 31: Yes. There is a bank on the next corner next to the post office. มีครับ มีธนาคารแห่งหนึ่ง ที่มุมถนนถัดไปติดกับที่ทำการไปรษณีย์

Q 32: Where is the nearest bank / supermarket / pharmacy / etc.? ธนาคาร / ซูเปอร์มาเก็ต / ร้านขายยา / ฯลฯ ที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหนครับ
A 32: The nearest pharmacy is on 15th street. ร้านขายยาที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ถนนหมายเลข 15

Q 33: Who wrote / invented / painted / etc. the ...? ใครคือผู้ เขียน / ประดิษฐ์ / วาด ภาพ / ฯลฯ .....
A 33: Hemingway wrote "The Sun Also Rises". เฮมิงเวย์เขียนหนังสือ "The Sun Also Rises"

Q 34: Is there any water / sugar / rice / etc.? มีน้ำ / น้ำตาล / ข้าว ฯลฯ บ้างไหม
A 34: Yes, there's a lot of sugar left. มีครับ มีน้ำตาลเหลืออยู่เยอะทีเดียว

Q 35: Are there any apples / sandwiches / books / etc.? มีแอปเปิ้ล / แซนด๋วิช / หนังสือ / ฯลฯ บ้างไหม
A 35: No, there aren't any apples left. ไม่มีครับ ไม่มีแอปเปิ้ลเหลืออยู่เลย

Q 36: Is this your / his / her / etc. book / ball / house / etc.? นี่คือ หนังสือ / ลูกบอล / บ้าน / ฯลฯ ของคุณ / ของเขา / ฯลฯ ใช่ไหมครับ
A 36: No, I think it's his ball. ไม่ใช่ครับ ฉันคิดว่าเป็นลูกบอลของเขา

Q 37: Whose is this / that? สิ่งนี้ / สิ่งนั้น เป็นของใคร
A 37: It's Jack's. เป็นของแจ๊ก

Questions with 'Like' คำถามที่มีคำว่า ‘like’ (like แปลว่า ‘ชอบ’ หรือ ‘คล้าย’ หรือ ‘มีลักษณะ’)
Q 38: What do you like? คุณชอบอะไร
A 38: I like playing tennis, reading and listening to music. ฉันชอบเล่นเทนนิส, อ่านหนังสือ และฟังเพลง

Q 39: What does he look like? เขามีลักษณะเป็นยังไง
A 39: He's tall and slim. เขาสูงและผอม
Q 40: What would you like? คุณชอบอะไร
A 40: I'd like a steak and chips. ฉันชอบสเต็กและชิป

Q 41: What is it like? มันมีลักษณะเป็นอย่างไร
A 41: It's an interesting country. มันเป็นประเทศที่น่าสนใจประเทศหนึ่ง

Q 42: What's the weather like? อากาศเป็นอย่างไรบ้าง
A 42: It's raining at the moment. ตอนนี้ฝนตก

Q 43: Would you like some coffee / tea / food? คุณจะรับกาแฟ / ชา / อาหาร บ้างไหม
A 43: Yes, thank you. I'd like some coffee. ครับ ขอบคุณครับ ขอรับกาแฟแล้วกันครับ

Q 44: Would you like something to drink / eat? จะรับอะไรดื่ม / ทาน ไหมครับ
A 44: Thank you. Could I have a cup of tea? ขอบคุณครับ ขอชาสักถ้วยได้ไหมครับ
 บันทึกการเข้า

~ lady of gold ~
Administrator
สมาชิก
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5277

Thank You
-มอบให้: 67
-ได้รับ: 93



อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: 09,กันยายน,2010, 11:45:40 AM »


Asking for an Opinion พูดขอความคิดเห็น

Q 45: What's it about? มันเกี่ยวกับอะไร
A 45: It's about a young boy who encounters adventures. เกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเผชิญเรื่องผจญภัย

Q 46: What do you think about your job / that book / Tim / etc.? คุณคิดยังไงเกี่ยวกับ งานของคุณ / หนังสือเล่มนั้น / ทิม / ฯลฯ
A 46: I thought the book was very interesting. ฉันคิดว่าหนังสือเล่มนั้นน่าสนใจมาก

Q 47: How big / far / difficult / easy is it? มันใหญ่ / ไกล / ยาก / ง่าย ขนาดไหน (ใช้ it = เอกพจน์)
A 47: The test was very difficult! ข้อสอบยากมาก

Q 48: How big / far / difficult / easy are they? มันใหญ่ / ไกล / ยาก / ง่าย ขนาดไหน (ใช้ they = พหูพจน์)
A 48: The questions were very easy. คำถามง่ายมาก

Q 49: How was it? มันเป็นอย่างไรบ้าง
A 49: It was very interesting. มันน่าสนใจมาก

Q 50: What are you going to do tomorrow / this evening / next week / etc.? คุณกำลังจะทำอะไรพรุ่งนี้ / เย็นนี้ / สัปดาห์หน้า / ฯลฯ
A 50: I'm going to visit some friends next weekend. ฉันจะไปเยี่ยมเพื่อนสุดสัปดาห์หน้า

Suggestions คำแนะนำ
Q 51: What shall we do this evening? เราจะทำอะไรกันดีเย็นนี้
A 51: Let's go see a film. ไปดูหนังกันเถอะ

Q 52: Why don't we go out / play tennis / visit friends / etc. this evening? ทำไมเราไม่ออกไปข้างนอก / เล่นเทนนิส / ไปเยี่ยมเพื่อน / ฯลฯ กันเย็นนี้
A 52: Yes, that sounds like a good idea. ใช่ ฟังดูเข้าท่าทีเดียว
= = = = ==


เมื่อท่านคุ้นเคยกับ 52 ประโยคข้างต้นแล้ว ก็ลองคลิกที่นี่เพื่อทำ test:
50 basic English questions quiz.
http://esl.about.com/library/quiz/bl_beginnerquestions.htm

ถ้ามีเวลาเชิญคลิกเข้าไปดูลิงค์นี้อีกครั้งนะครับ http://esl.about.com/od/beginnerpronunciation/a/basicquestions.htm
มีของดีให้ศึกษาอีกเยอะครับ

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

Noun

Nouns ( คำนาม )
Types ( ชนิดของคำนาม )

คำนาม ( Nouns ) หมายถึงคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งต่างๆ สถานที่ คุณสมบัติ สภาพ อาการ การกระทำ ความคิด ความรู้สึก ทั้งที่มีรูปร่างให้มองเห็น และไม่มีรูปร่าง  การแบ่งคำนามสามารถจำแนกได้หลายแบบแล้วแต่ตำรา  เท่าที่รวบรวมนำเสนอในที่นี้มี  4 แบบ คือ
แบบที่  1     แบ่งคำนามเป็น 2 ประเภท
แบบที่  2     แบ่งคำนามเป็น 3 ประเภท
แบบที่  3     แบ่งคำนามเป็น  4 ประเภท
แบบที่  4     แบ่งคำนามเป็น  7 ประเภท
ซึ่ง ใน  7  ประเภทนี้  3 ประเภทสุดท้ายได้แก่ material nouns, concrete nouns  และ mass  nouns อาจจัดอยู่ในกลุ่ม  common nouns  ได้ดังนี้
2 ประเภท
3 ประเภท
4 ประเภท
7 ประเภท
Common Nouns
Proper Nouns
Common Nouns
Proper Nouns
Abstract Nouns
Common Nouns
Proper Nouns
Abstract Nouns
Collective Nouns
1. Common Nouns
2. Proper Nouns
3. Abstract Nouns
4. Collective Nouns
5. Material Nouns
6. Concrete Nouns
7. Mass Nouns
1.Common Noun (นามทั่วไป)
เป็นคำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุปคือ คำนามทั้งหลายที่ไม่ใช่ proper nouns คือ common nouns เช่น
    สิ่งของ          boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant
    สถานที่         city, hill, road, stadium, school,company
    เหตุการณ์      revolution, journey, meeting
    ความรู้สึก      fear, hate, love
    เวลา            year, minute, millennium
  • Common Nouns เป็นได้ทั้ง นามนับได้ (Countable) และนามนับไม่ได้ ( Uncountable )
    Countable Nouns ( นามนับได้ ) สามารถอยู่ทั้งในรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์
            มีตัวตน      เช่น dog, man, coin , note, dollar, table, suitcase
            ไม่มีตัวตน   เช่น day, month, year, action, feeling
    Uncountable Nouns (นามนับไม่ได้ ) หรือ Mass Nouns อยู่ในรูปเอกพจน์ เท่านั้น
            มีตัวตน   เช่น   furniture, luggage, rice, sugar , water ,gold
           ไม่มีตัวตน  เช่น  music, love, happiness, knowledge, advice , information
 
Common countable
Common uncountable
indefinite(ไม่เจาะจง)
definite(เจาะจง)
indefinite(ไม่เจาะจง)
definite(เจาะจง)
Singular 
a cow
the cow
milk
the milk
plural
cows
the cows
-
-
  • Common Nouns จะไม่ขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter ) ยกเว้นเป็นคำขึ้นต้นของประโยค  ตัวอย่างTher are many children on the beach. Children love to swim.
2.Proper Nouns ( นามเฉพาะ )  จะต้องขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประโยค
  • เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของ Common Noun เช่น
    ชื่อคน (Person Name) เช่น   Somsak , Tom, Daeng
    ชื่อสถานที่ ( Place Name) เช่น   Australia,Bangkok,Sukhumvit Road, Toyota
    ชื่อบอกระยะเวลา (Time name ) เช่น Saturday, January, Christmas
  • Proper Nouns จะต้องเขียนขึ้นต้นด้วยตัวใหญ่ ( Capital letter )
  • Proper Nouns ปกติจะไม่มี determiner นำหน้า นอกจากอยู่ในรูปของพหูจน์ เช่น the Jones ( ครอบครัวโจนส์ )
    the United States, the Himalayas
    แต่อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นของคำนามที่ไม่ได้อยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น The White House, the Sahara ( ทะเลทราย ),
    the Pacific ( Ocean ), the Vatican, the Kremlin ( ดูรายละเอียดจากเรื่องการใช้ articles – the )
  • เปรียบเทียบระหว่าง common nouns และ proper nouns
Common NounsProper Nouns
dogLassie ( ชื่อของสุนัข )
boyJack ( ชื่อของเด็กชาย)
carToyota ( ชื่อยี่ห้อรถ )
monthJanuary ( ชื่อของเดือน)
roadSukhumvit ( ชื่อถนน )
universityChulalongkorn ( ชื่อมหาวิทยาลัย)
shipU.S.S. Enterprise ( ชื่อเรือ )
countryThailand (ชื่อประเทศ )
  คำนามประเภทอื่นมีคำอธิบายดังนี้
3.Abstract Nouns   
เป็นคำนามของสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เป็นนามที่บอกลักษณะ สภาวะ อาการ เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมักจะมีคำว่า ความ การนำหน้าอยู่ด้วยรวมทั้งชื่อศิลปวิทยาการต่างๆ
Abstract Nouns จะมีที่มาจากคำกริยา ( verb) ,คำคุณศัพท์ ( adjective) และ คำนาม ( noun) ด้วยกันเองบ้าง เช่น
Abstract Nouns
ที่มาจากคำกริยา 
Abstract  Nouns
ที่มาจากคำคุณศัพท์
Abstract Nouns
ที่มาจากคำนาม
decision - to decidebeauty - beautifulinfancy - infant
thought  - to thinkpoverty - poorchildhood - child
Imagination - to imaginevacancy - vacantfriendship - friend
speech - to speakhappiness - happy 
growth - to growwisdom - wise 
4.Collective Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่เป็นหมวดหมู่ กลุ่มของคน สัตว์ สิ่งของ เช่น family , class, company, committee, cabinet, audience, board, group, jury, public, society, team, majority orchestra, party เป็นต้นรวมทั้ง a flock of birds, a herd of cattle ,a fleet of ships เป็นต้น อาจจะใช้คำกริยารูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้   ว่าต้องการให้เป็นหนึ่งเดียวหรือเป็นแต่ละส่วน แต่คำนามยังเป็นรูปเดิม เปลี่ยนแต่รูปกริยา เช่น
เอกพจน์ : The average British family has 3.6 members.
            ครอบครัวชาวอังกฤษ (ครอบครัวหนึ่ง ) มีสมาชิกโดยเฉลี่ย 3.6 คน
พหูพจน์: The family are always fighting among themselves. ครอบครัวนี้มักจะทะเลาะกันเอง
          ( ประโยคนี้มีความหมายว่าสมาชิกในครอบครัวต่างทะเลาะกันเองทั้งครอบครัว   จึงใช้กริยาเป็นพหูพจน์ )

เอกพจน์: The committee has reached its decision. คณะกรรมการได้ผลการตัดสินใจ
          ( ของคณะกรรมการรวมกันทั้งคณะ)
พหูพจน์: The committee have been arguing all morning over what they should do.
         คณะกรรมการเถียงกันตลอดทั้งเช้าว่าควรจะทำ อะไร
        ( กรรมการแต่ละคนนับเป็น 1 หน่วย ทั้งคณะจึงเป็นพหูพจน์ )

Collective noun  บางคำมีความหมายเป็นพหูพจน์เท่านั้น เช่น   people, police, cattle
นอกจากนี้ยังมีรูปแบบ คำวลีผสมด้วย of เพื่อเน้นให้ความเป็นหมู่หรือคณะให้ชัดเจนขึ้น รูปแบบคือ Collective noun + of + commonnoun ตัวอย่างเช่น
a flock of birdsa group of students
a flock of sheepa pack of cards
a herd of cattlea bunch of flowers
a fleet of shipsa kilo of pork
5.Concrete Nouns
เป็นคำนามของสิ่งที่มีรูปร่างสามารถสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 ( touch- สัมผัสได้, sight-มองเห็นได้, taste-ชิมได้ , hearing- ได้ยิน, smell- ได้กลิ่น ) เช่น book , chair, water, oil , ice cream เป็นทั้งนามนับได้ และนับไม่ได้ มีลักษณะตรงกันข้ามกับ abstract nouns.
6.Material Nouns
  • เป็น common nouns ชนิดหนึ่งซึ่งมีรูปร่าง อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แต่นับไม่ได้ เช่น

    ธาตุ: iron, gold, air, copper
    สารธรรมชาติ, สังเคราะห์: stone, cotton, brick, paper, cloth
    ของเหลวต่างๆ: water, coffee, wine, tea, milk  
    อาหาร: rice, bread, sugar, pork, fish, butter, fruit, salad 
  • แสดงความมากน้อยด้วยปริมาณ (quantity)  เช่น
a bowl of rice
two boxes of cereal
five bottles of beer
a cup of tea
three bars of soap
two glasses of water
a loaf of bread
a slice of pizza
a piece of paper
a quart of milk
แต่ในการใช้ material nouns ส่วนมากจะพูดสั้นๆ เช่น ในประโยคเกี่ยวกับ tea ( ชา )

พูดในร้านอาหาร : I want some tea. ฉันขอชาหน่อยใ( ในที่นี้หมายถึง I want a cup of tea. )
พูดในซูเปอร์มาร์เก็ต: I want some tea. ในที่นี้ผู้พูดหมายถึง I want a packet of tea.
พูดในร้านอาหารซึ่งมีชาหลายชนิด หลายยี่ห้อให้เลือก    เช่น ชาจีน ชาเขียว ชาญี่ปุ่น ชาอู่หลง เป็นต้น :
I like their teas. หมายถึง I like their selection of teas. ( ฉันชอบชาหลากหลายชนิดที่มีให้เลือกของร้าน )
7,Mass nouns
เป็นคำนามสิ่งของที่นับไม่ได้ ทั้งมี และไม่มีตัวตน ( uncountable nouns และ abstract nouns ) เช่น sugar, iron , butter, beer, money, blood, furniture, vehicle, courage,gratitude, mercy , accuracy มีลักษณะดังนี้ คือ
  • จะไม่อยู่ในรูปพหูพจน์ 
  • ไม่ใช้ a , an , the นำหน้า ถ้าใช้เป็นการทั่วไป determiners ที่ใช้นำหน้าคือ some และ any เช่น
    Blood is thicker than water.  เลือดข้นกว่าน้ำ ( uncountable )
    Depression often affects women immediately following the birth of their babies
          ผู้หญิงมักมีอาการซึมเศร้าตามมาหลังคลอดบุตรทันที ( abstract nouns )
    He dropped some money on the floor. เขาทำเงินหล่นลงบนพื้น
  • หมายเหตุ
    * บางตำรา mass nouns คือmaterial nouns + concrete nouns และแยก abstract nouns ออกเป็น nouns อีกประเภทหนึ่ง *คำนามบางคำตามความคิดของคนไทยน่าจะเป็นสิ่งของที่นับได้เช่น furniture, luggage ,equipment, money  แต่ในภาษาอังกฤษ จะมองเป็นของที่นับไม่ได้ จะนับได้ต่อเมื่อแยกเป็นส่วนย่อย เช่น furniture แยกเป็น table, chair เป็นต้น
หากสรุปโดยคิดว่าคำนามมี 7  ประเภท การแยกกลุ่มจะเป็นไปตามตารางข้างล่างนี้    โดยตัวอย่างในบางคำนามจะซ้ำกับในคำนามอื่น เช่น water จะเป็นทั้ง concrete nouns และ material nouns  และ honesty เป็นทั้ง mass nouns และ abstract nouns
Nouns
ประเภทคำนาม
ประเภทย่อย
ประเภทย่อย
ตัวอย่าง
Proper nouns
   John, London
Common nouns
Countable nouns
Concrete
 chair,book,student
Collective nouns
 two flocks of birds ,people
Uncountable Nouns
Concrete nouns
 ice cream,oil,water
Mass Nouns
 furniture,money,honesty
Material nouns
 water,bread,oxygen,gold
Abstract nouns
 honesty, friendship,honesty

ตาราง การใช้ articles นำหน้าคำนาม ซึ่งในที่นี้เป็นหลักทั่วไปไม่รวมข้อยกเว้นต่างๆ   (ดูรายละเอียดข้อยกเว้นได้ในเรื่อง Articles )
 
Common Nouns
Proper Nouns
Countable Nouns
Uncountable Nouns
Singular
Plural
Singular
Plural
Singular
Plural
ไม่มี article
(John)
the
(the Jones)
ชี้เฉพาะ
(definite )
the
(the boy )
the
(the boys)
the
(the water )
-
ไม่เฉพาะ
(indefinite )
a/an
(a tiger)
ไม่มี article
( tiger)
ไม่มี article
(water)
-
-

 

 

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

แทรกนิดนึงค่ะ

ความเสี่ยงที่สุด คือการไม่กล้าเสี่ยงเลย 
The biggest risk is not to take the risk at all 
ราอูล กราเซีย บราโว

อักษรน่ารุ้

ตารางเทียบเสียงพยัญชนะ

พยัญชนะไทยอักษรโรมันตัวอย่าง
ตัวต้นตัวสะกด
kkกา = ka , นก = nok
ข ฃ ค ฅ ฆkhkขอ = kho , สุข = suk , โค = kho , ยุค = yuk , ฆ้อง = khong , เมฆ = mek
ngngงาม = ngam , สงฆ์ = song
จ ฉ ช ฌchtจีน = chin , อำนาจ = amnat , ฉิ่ง = ching , ชิน = chin , คช = khot , เฌอ = choe
ซ ทร(เสียง ซ) ศ ษ สstซา = sa , ก๊าซ = kat , ทราย = sai , าล = san , ทศ = thot , รักษา = raksa , กฤษณ์ = krit , สี = si , รส = rot
ynญาติ = yat , ชาญ = chan
ฎ ฑ (เสียง ด) ดdtฎีกา = dika , กฎ = kot , บัณฑิต = bandit , ษัฑ = sat , ด้าย = dai , เป็ด = pet
ฏ ตttปฏิมา = patima , ปรากฏ = prako, ตา = ta , จิต = chit
ฐ ฑ ฒ ถ ท ธthtฐาน = than , รัฐ = rat , มณฑล = monthon , เฒ่า = thao , วัฒน์ = wat , ถ่าน = than , นาถ = na, ทอง = thong , บท = bot , ธง =thong , อาวุธ = awut
ณ นnnประณีต = pranit , ปราณ = pran , น้อย = noi , จน = chon
bpใบ = bai , กาบ = kap
ppไป = pai , บาป = bap
ผ พ ภphpผา = pha , พงศ์ = phong , ลัพธ์ = lap , สำเภา = samphao , ลาภ = lap
ฝ ฟfpฝั่ง = fang , ฟ้า = fa , เสิร์ฟ = soep
mmม้าม = mam
y-ยาย = yai
rnร้อน = ron , พร = phon
ล ฬlnลาน = lan , ศาล = san , กีฬา = kila , กาฬ = kan
w-วาย = wai
ห ฮh-หา = ha , ฮา = ha

หมายเหตุ :: 
๑. ในทางสัทศาสตร์ ใช้ h เป็นตัวสัญลักษณ์เพื่อแสดงลักษณะเสียงธนิต (เสียงที่กลุ่มลมพุ่งตามออกมาในขณะออกเสียง) h ที่ประกอบหลัง k p t จึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางสัทศาสตร์ดังนี้
 k แทนเสียง ก เพราะเป็นเสียงสิถิล (เสียงที่ไม่มีกลุ่มลมพุ่งออกมาในขณะออกเสียง) kh จึงแทนเสียง ข ฃ ค ฅ ฆ เพราะเป็นเสียงธนิต
p แทนเสียง ป ซึ่งเป็นเสียงสิถิล ph จึงแทนเสียง ผ พ ภ เพราะเป็นเสียงธนิต ไม่ใช่แทนเสียง ฟ
t แทนเสียง ฏ ต ซึ่งเป็นเสียงสิถิล th จึงแทนเสียง ฐ ฑ ฒ ถ ท ธ เพราะเป็นเสียงธนิต
๒. ตามหลักสัทศาสตร์ ควรใช้ c แทนเสียง จ ซึ่งเป็นเสียงสิถิล และ ch แทนเสียง ฉ ช ฌ ซึ่งเป็นเสียงธนิต ดังที่ใช้กันในภาษาบาลี-สันสกฤต เขมร ฮินดี อินโดนีเซีย และภาษาอื่น ๆ อีกหลายภาษแต่ที่มิได้แก้ไขให้เป็นไปตามหลักสัทศาสตร์ เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ไข้วเขวกับการสะกดและออกเสียงตัว c ในภาษาอังกฤษซึ่งคนไทยมักใช้แทนเสียง ค หรือ ซ ตัวอย่างเช่น จน/จิต หากเขียนตามหลักสัทศาสตร์เป็น con/cit ก็อาจจะออกเสียงตัว c เป็นเสียง ค ในคำว่า con และออกเสียง ช ในคำว่า cit ดังนั้นจึงยังคงใช้ ch แทนเสียง จ ตามที่คุ้นเคย เช่น จุฬา = chula , จิตรา = chittra


ตารางเทียบเสียงสระ

สระอักษรโรมันตัวอย่าง
อะ ,  -ั (อะ ลดลรูป) , รร (มีตัวสะกด) , อาaปะ = pa , วัน = wan , สรรพ = sap , มา =ma
รร (ไม่มีตัวสะกด)anสรรหา = sanha , สวรรค์ = sawan
อำamรำ = ram
อิ , อีiมิ = mi , มีด = mit
อึ , อืueนึก = nuek , หรือ = rue
อุ , อูuลุ = lu , หรู = ru
เอะ , เ-็ (เอะ ลดรูป) , เอeเละ = le , เล็ง = leng , เลน = len
แอะ , แอaeและ = lae , แสง = saeng
โอะ , - (โอะ ลดรูป) , โอ , เอาะ , ออoโละ = lo , ลม = lom , โล้ = lo , เลาะ = lo , ลอม = lom
เออะ , เ- ิ (เออะ ลดรูป) , เออoeเลอะ = loe , เหลิง = loeng , เธอ = thoe
เอียะ , เอียiaเผียะ = phia , เลียน = lian
เอือะ , เอือuea* , เลือก = lueak
อัวะ , อัว , - ว- (อัว ลดรูป)uaผัวะ = phua , มัว = mua , รวม = ruam
ใอ , ไอ , อัย , ไอย , อายaiใย = yai , ไล่ = lai , วัย = wai , ไทย = thai, สาย = sai
เอา , อาวaoเมา = mao , น้าว = nao
อุยuiลุย = lui
โอย , ออยoiโรย = roi , ลอย = loi
เอยoeiเลย = loei
เอือยueaiเลื้อย = lueai
อวยuaiมวย = muai
อิวioลิ่ว = lio
เอ็ว , เอวeoเร็ว = reo , เลว = leo
แอ็ว , แอวaeoแผล็ว = phlaeo , แมว = maeo
เอียวiaoเลี้ยว = liao
ฤ (เสียง รึ) , ฤาrueฤษี , ฤาษี = ruesi
ฤ (เสียง ริ)riฤทธิ์ = rit
ฤ (เสียง เรอ)roeฤกษ์ = roek
ฦ , ฦาlue* , ฦาสาย = luesai

หมายเหตุ :: 
๑. ตามหลักเดิม อึ อื อุ อู ใช้ u แทนทั้ง ๔ เสียง แต่เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างเสียง อึ อื กับ อุ อู จึงใช้ u แทน อุ อู และใช้ ue แทน อึ อื
๒. ตามหลักเดิม เอือะ เอือ อัวะ อัว ใช้ ua แทนทั้ง ๔ เสียง แต่เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างเสียง เอือะ เอือ กับ อัวะ อัว จึงใช้ ua แทน อัวะ อัว และ uea แทน เอือะ เอือ เพราะ เอือะ เอือ เป็นสระประสมซึ่งประกอบด้วยเสียง อึ หรือ อื (ue) กับเสียง อะ หรือ อา (a)
๓. ตามหลักเดิม อิว ใช้ iu และเอียว ใช้ ieu แต่เนื่องจากหลักเกณฑ์นี้เสียงที่มี ว ลงท้ายและแทนเสียงด้วย o ซึ่งได้แก่ เอา อาว (ao) , เอ็ว เอว (eo) , แอ็ว แอว (aeo) ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปในทำนองเดียวกัน อิว ซึ่งเป็นเสียง อิ กับ ว จึงแทนด้วย i + o คือ io ส่วนเสียง เอียว ซึ่งมาจากเสียง เอีย กับ ว จึงแทนด้วย ia + o เป็น iao
* ไม่มีคำประสมด้วยสระเสียงนี้ในภาษาไทย

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

กริยา3ช่อง


คำกริยา 3 ช่องคืออะไรเหรอ?
มันก็คือ กริยาตัวเดียว ที่สามารถแปลงร่างได้สามตัว ทำให้คนเรียนปวดหัวเล่น ๆ แค่นั้นเอง ไม่เชื่อก็ลองดูตัวอย่างที่เอามาให้ดูสิ ทำไมต้องมีถึงสามช่องก็ไม่รู้เน๊อะ ช่องเดียวก็จำไม่หมดอยู่แล้ว
แต่ความจริงแล้วมันมีตั้ง 5 ช่องนะ ไม่เชื่อก็ดูตัวอย่าง
gogoesgoingwentgone
ตัวที่หนึ่งคือกริยาเดิมๆ เรียกว่าช่อง 1 ตัวต่อมาเติม s ตัวต่อมาเติม ing และช่อง 2 ช่อง 3 ตามลำดับ
แต่ว่าการเติม s และ ing นั้นมีหลักการอยู่จึงไม่รวมอยู่ในนี้ ไว้เรียนเรื่อง Tense จะรู้เอง
สาเหตุที่มีสามช่องก็คือว่า คำกริยาเหล่านี้มันเกี่ยวเนื่องกับนำไปใช้ เมื่อเรียนรู้เรื่อง Tense ทั้ง 12 จะได้เข้าใจง่ายขึ้น เขาก็เลยนำมาจัดเป็นหมวดหมู่ให้ได้เลือกใช้ง่าย ๆ สำหรับคนที่เรียนหลักภาษา
ความจริงแล้ว กริยา 3 ช่องมีเยอะมาก เข้าร้านหนังสือก็มีขายเกลี่อน แต่ไม่ต้องซื้อหรอก ในเบื้องต้นศึกษาจากที่นี่ก่อนก็เพียงพอแล้ว
กริยา 3 ช่องมี 2 ประเภทนะครับ คือ ปกติ (regular) และ อปกติ (irregular)
1. Regular Verbs กริยาปกติ คือ มันไม่เปลี่ยนรูปร่างให้ปวดหัว เพียงแค่ช่องที่ สอง กับช่องที่ 3 เติม ed ต่อท้ายแค่นั้น
2. Irregular Verbs กริยาอปกติ คือ มีการเปลี่ยนรูปร่างให้ปวดเศียรเวียนเกล้าเล่นๆ เพราะ ช่องหนึ่ง สอง สาม ไม่เหมือนกัน หรือบางทีมีสองช่องที่เหมือนกัน หรือบางทีเหมือนกันทั้งสามช่องก็มี ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรให้จำเลย อันนี้ก็ต้องอาศัย การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษบ่อย ๆ จะจำได้เอง เพราะจะเห็นคำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา ด้านล่างคือตัวอย่างพอเป็นพิธีนะครับ
กริยาอปกติ (Irregular Verbs) ที่ใช้บ่อย 
PresentPast SimplePast Participleความหมาย
be(is,am,are)was,werebeenเป็น,อยู่,คือ
bearborebornถือ,เกิด
becomebecamebecomeกลายเป็น
beginbeganbegunเริ่มต้น
bendbentbentโค้ง งอ
betbetbetพนัน
bitebitbitten (or bit)กัด ขบ ฉีก
bleedbledbledเลือดออก
blowblewblownพัด เป่า ตี
bringbroughtbroughtนำมา เอามา
กริยาปกติ (Regular Verbs) ที่ใช้บ่อย 
PresentPast SimplePast Participleความหมาย
allowallowedallowedอนุญาต
arrivearrivedarrivedมาถึง ไปถึง
borrowborrowedborrowedยิม
callcalledcalledเรียก
carrycarriedcarriedถืือ
cleancleanedcleanedทำความสะอาด
closeclosedclosedปิด
crycriedcriedร้องไห้
drydrieddriedทำให้แห้ง
endendedendedจบ สิ้นสุด
explainexplainedexplainอธิบาย
ค่อยๆ ศึกษาทำความเข้าใจนะครับ อยากเก่งต้องขยันอย่างเีดียว

การใช้ Article

การใช้ Article


   
1 Articles หมายถึง คำนำหน้านาม แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1.1 “a” หรือ “an” เรียกว่า Indefinite Articles
1.2 “the” เรียกว่า Definite Articles


2. Indefinite Articles นำหน้านามเอกพจน์เท่านั้น ให้สังเกตคำนำหน้านามที่เป็น indefinite article ต่อไปนี้
a horse

an elephant
a car

an airplane
the Pacific

the air
จะสังเกตได้จากการใช้ a, an, the นั้น จะขึ้นอยู่การออกเสียงของคำ ซึ่งตามหลัง a, an หรือ นั้น มิใช่ขึ้นอยู่กับการสะกดคำ ดังนี้
a uniform (ไม่ใช้คำว่า an uniform) เพราะคำนี้อ่านออกเสียงตามพยัญชนะ คือ ยู
a one-eyed man (ไม่ใช้คำว่า an one eyed man) เพราะคำว่า one ออกเสียงด้วยพยัญชนะ ว

จึงอาจสรุปได้ดังนี้
1. a ใช้นำหน้านามเอกพจน์ที่ออกเสียงแรกด้วยพยัญชนะ ดังนี้
a shoe

a European
a car

a useful tool
a cow a ewe
a university

a union
2. ใช้ “an” นำหน้านามซึ่งตามหลังมา และนามนั้นออกเสียงเป็นเสียงสระ (เสียงสระคือเสียงที่เปล่งออกมาเป็นเสียง “ออ” เช่น an accident an hour
an egg

an honour
an orange

an honest man
an interesting book

an heir
an S. an M.A.

3. กฎของ Articles มี 3 ประการ คือ
1. ห้ามใช้ “the” กับนามพหูพจน์ และนามนับไม่ได้ เมื่อกล่าวถึงสิ่งต่างๆ โดยทั่วไปเช่น A church is usually cool
2. ห้ามใช้นามนับได้กับเอกพจน์ โดยไม่มี articles เช่น the book, a book แต่ไม่ใช่ book
3. ใช้ a หรือ an นำหน้าอาชีพ หรืองานบุคคล เช่น She is a doctor (ใช้ she is doctor) ไม่ได้
4. การใช้ articles

4.1 การใช้ indefinite articles (a/an)
1) ใช้ในความหมาย “หนึ่ง” หรือ “any” เช่น
He has a brother
2) ใช้ในการบอกหน่วยการวัด a, an มีความหมาย = ต่อ
He drove the car at 100 miles an hour
This Thai silk costs two hundred baht a yard
3) ใช้นำหน้า dozen, hundred, thousand, million, billion
I bought a dozen book
A hundred cows were in the field
4) ใช้นำหน้านามที่บอกอาชีพ การค้า ศาสนา เป็นต้น
She is a doctor
She is an official in the bank
She is a Buddhist
แต่ถ้านามนั้นบ่งถึงตำแหน่ง หรือสำนักงานซึ่งกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งมีเพียงครั้งละผู้เดียวไม่ต้องใช้ a/an
The made him Prime Minister
Kanittha was Professor of Development Education
ไม่ต้องใช้ a/an กับคำนามที่บอกยศ (rank หรือ title)
My friend gained the rank of Coronel
5). ใช้ a, an เมื่อเป็นการอ้างถึงบุคคลที่เรารู้จักแต่เพียงชื่อ
A Mr. Johnson telephoned you this morning
(ใช้ a แสดงว่าไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร แต่เขาบอกว่าชื่อ Mr. Johnson

6) ใช้ a, an กับนามที่ซ่อนนามตัวหน้า (noun in apposition) เมื่อสิ่งนั้นหรือคนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
Sunthhornphoo is Thai poet
Daotho, a small village in Chiangmai


7). ใช้ a/an กับประโยคอุทานที่ขึ้นต้นด้วย What
What a beaufiful girl she is ! 
What an ugly man he is !


แต่ถ้าประโยคอุทานที่ขึ้นต้นด้วย what นั้น ตามด้วยนามนับไม่ได้ หรือนามพหูพจน์ไม่ต้องใช้ a/an นำหน้านาม
What + นามนับไม่ได้ + S+V
ตัวอย่าง “What lovely flowers they are!

8) ใช้ a/an กับวลีต่อไปนี้
ตัวอย่าง It’s a pity that she can’t come
He wants to keep this a secret

as a rule: to be in a hurry
to be in a good/bad temper
to tell a lie: all of a sudden
It’s a shame to do that : to take an interest in
to take a pride in: to take a dislike to
to make a fool of oneself : to be in a position to
to have a mind to
to have a chance : to have an opportunity to
at a discount/premium : on an average
a short time ago

นอกจากนี้ ยังใช้ a/an กับความเจ็บไข้ เช่น
To have a headache/ a pain/ a cold/ a cough
แต่ to have toothache/earache/rheumatism/influenza
9) ใช้กับโครงสร้างต่อไปนี้
such a : quite a: many a : rather a
Many a letter has passed my desk since last year
Mana is quite a good boy
He is rather a bad temper man
It’s such a nice day!

4.2 การใช้ Definite article (the)
ใช้ the นำหน้านามได้ที่ทั้งเป็นนามเอกพจน์ และพหูพจน์ และนามนับได้ หรือนามนับไม่ได้ โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
1) ใช้ the นำหน้านามซึ่งมีความหมายเฉพาะ โดยดูจาก that clause 
This is the book that I bought for you
2) ใช้ the ในความหมายมีสิ่งเดียว
The sun rises in the east and sets in the west
The world : the equator : the universe
3) ชื่อเรือต่างๆ รถไฟ เครื่องบิน
The Queen May : The Comet
4) ชื่อที่เกี่ยวกับอาณาบริเวณภูมิศาสตร์
เราใช้ the กับคำว่า country, sea, seaside และ mountain แม้ว่าเราจะไม่ได้ชี้เฉพาะว่าเป็นทะเลใด หรือภูเขาแห่งไหน
I like to live in the country
I love the mountain, but I hate the sea
5) ชื่อสถานที่ เรามักใช้ the กับชื่อสถานที่ต่อไปนี้
แม่น้ำ the Chaopraya
มหาสมุทร the Pacific
อ่าว the Gulf of Thailand
ทะเลทราย the Sahara
ภูมิภาค the Middle East, the Midwest
โรงแรม the Oriental Hotel
สถาบัน the Midland Bank
โรงละคร the Playhouse
ชื่อร้าน the Central Department Store
ทะเล the Red Sea
หมู่เกาะ the Philippines (เกาะเดียวไม่ใช้ the)
เทือกเขา the Himalayas (ภูเขาเดียวไม่ใช้ the)
โรงภาพยนตร์ the Lido

6. ใช้กับหนังสือต่างๆ เข่น The Thairath, The Bangkok Post
7. ใช้กับชื่อครอบครัว เช่น The Smiths
8. ใช้ the กับสิ่งที่ได้กล่าวถึงมาแล้วครั้งหนึ่ง (ถ้ากล่าวถึงครั้งแรกให้ใช้ a/an
9. ใช้ the นำหน้านามซึ่งขยายด้วยบุพบทวลี เฃ่น the battle of Tungchang, the map of Bangkok
10. ใช้ the กับลำดับที่ในตำแหน่ง เช่น Queen Elizabeth the Second
11. ใช้ the นำหน้า common noun (นามที่ใช้เรียกชื่อทั่วๆ ไป) ที่ตามด้วยชื่อเฉพาะ ซึ่งมาขยาย common noun เช่น the planet Mar. the poet Sunthornpoo
นอกจากนี้ คำนามที่บอกเกี่ยวกับอาชีพ หรือการค้า และอยู่หลังชื่อเฉพาะให้ใช้ the นำหน้า เช่น Tawee, the bankder, Suda, the Personal Manager
12. ใช้ the กับชื่อประเทศที่มีคำว่า Union, United อยู่ หรือขึ้นต้นด้วย Repulbic, Kingdom รวมทั้งชื่อประเทศที่เป็นพหูพจน์ เช่น The United Kingdom, the Netherlands 
และในกรณี common noun ซึ่งตามหลังชื่อทางภูมิศาสตร์ได้ถูกละไว้ ให้ใช้ the + ชื่อทางภูมิศาสตร์ นั้น The Sahara (ละ desert) 
13 ช้ the กับชื่อของเครื่องดนตรีที่ใช้ในความหมายทั่วๆ ไป เช่น Preeya plays the piano. Kalong plays the ranard
14 ใช้ the นำหน้าคำคุณศัพท์ขั้สุดที่ขยายนาม เช่น This is the oldest person
15 ใฃ้ the หน้าคุณศัพท์ที่ใช้เป็นคำนาม หมายถึงสิ่งนั้นทั้งหมด และเป็นพหูพจน์ เช่น the rich, the poor, the brave
16 ใช้ the ในสำนวนที่เป็นการเปรียบเทียบขั้นกว่า 2 จำนวน 
The harder you work, the more you will be paid
The more he gets, the more he wants

4.3 การไม่ใช้ Article
1. นำคำนาม ซึ่งใช้ในความหมายทั่วๆ ไป เช่น Life is very hard for some people
2. หน้าคำนามประเภท material ในความหมายทั่วๆ ไป เช่น Butter is made from cream
3. หน้าคำนามพหูพจน์ในความหมายทั่วๆ ไป เช่น Books are my best friends
4. หน้าคำนามที่เป็นชื่อมื้ออาหารทั่วๆ ไป เช่น Come to dinner/ breakfast/ lunch/ tea
5. หน้าชื่อเฉพาะ I walked in Hyde Park, Do you know the Regent Street?
6. หน้าทะเลสาป (Lake) แหลม (Cape) ภูเขา (mount) ยกเว้นเมื่อคำเหล่านี้มีคำว่า of ตามหลัง เช่น the lake of Lucene, the Cape of good hope
7.หน้าชื่อตำแหน่งตามด้วยชื่อเฉพาะ เช่น King George, Doctor Amnuay
8. ชื่อภาษา และชื่อวิชาต่างๆ เช่น She speaks French
9. ชื่อ วิทยุและโทรทัศน์ในความหมายทั่วๆ ไป
10. ไม่ใช้ article กับ Man หรือ Woman
11 สำนวนต่างๆ ที่ละ article เช่น go to school to stay at home. To be out of doors. The men work by day but not by night. He is indebt/ in trouble. At any break/sunset He did the work for love, not for money